ผู้รับใช้พระเจ้า สายพันธุ์ใหม่
ปี คศ 2010 เป็นปีที่คริสเตียนไทยตั้งความหวังไว้สูงมาก นั่นก็คือการรวมพลังนำข่าวประเสริฐ และตั้งคริสตจักรไปทั่วทุกตำบล ทุกอำเภอ ทุกหมู่บ้าน การที่คริสตชนไทยจะสานให้ฝันนั้นเปิดเป็นจังได้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีปัจจัยที่สำคัญช่วยกระตุ้น ปลุกเร้าให้คริสเตียนไทยมีจิตวิญญาณเยี่ยงเดียวกัน ผู้นำคริสตจักรในยุคปัจจุบันเปรียบเสมือนทัพหน้าในการรุกสู่แผ่นดิน สร้างเครือข่าย ขยายแผ่นดินออกไป ซึ่งสำคัญที่มาก็คือการเร่งสร้างพัฒนาบุคลากรเพื่อทำให้เป้าหมายของประเทศสัมฤทธิ์ผล เพื่อให้ได้บุคคลซึ่งมีขีดความสามารถในการทำพันธกิจเหนือศัตรูของเราคือมารซาตาน การสร้างนักเทศน์ และนักบริหารองค์กรพันธุ์ใหม่ ก็เปรียบได้กับการที่เราเอาเมล็ดพืชชนิดหนึ่งมาทำการปรับเปลี่ยนสายพันธ์ เพื่อให้ได้สายพันธุ์ใหม่ที่เหมาะกับสภาพดินฟ้าอากาศ มีความทนทาน ให้ผลผลิตมากตลอดปี ผู้รับใช้ของพระเจ้าควรจะมีลักษณะชีวิตในลักษณะดังต่อไปนี้คือ
1. ทันการณ์ ทันโลก ทันสมัย มีความฉลาดเฉลียว มีข้อมูลข่าวสารทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม แม้กระทั้งด้านกีฬาต่างๆ ทำไมก็เพราะว่ากลุ่มเป้าหมายที่เรากำลังจะทำงานประกาศข่าวประเสริฐกับเขา เขาเหล่านั้นเป็นบุคคลซึ่งมีโลกทัศน์ที่กว้างขวาง มีการศึกษาสูง มีระบบเครือข่ายที่สับซ้อนมาก แน่นอนถ้าผู้รับใช้พระเจ้ายังมัวแต่ชื่นชมกับระบบการทำงาน การบริหารงานแบบเก่าๆ อยู่ นอกจากเราจะก้าวไปไม่ทันโลกแล้ว เรายังชักช้าเกินกว่าไปให้ถึงฝันของปี คศ 2010 ยากที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จ ในยุคปัจจุบันคริสตจักรต่างๆจำเป็นจะต้องมีคอมพิวเตอร์ไว้ใช้ในสำนักงานกันได้แล้ว ซึ่งแน่นอนหากคริสตจักรทั่วประเทศไทยสามารถส่งอีเมล์ถึงกันได้ทั้งหมด การที่เราจะประสานงาน ประสานใจกันก็ง่ายนิดเดียว งานของเราก็จะรวดเร็วขึ้นเยอะเลย ไม่ต้องมานั่งลงหวังระบบการติดต่อสื่อสารแบบโบราณอีกต่อไป ซึ่งนอกจากจะเสียเวลาแล้วยังเสียเงินมากกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้นำคริสตจักรจะต้องมีการเตรียมความพร้อมที่ก้าวไปสู่ความทันโลกทันสมัยด้วย เงินไม่ใช้ปัญหาของการก้าวไปสู่การทันโลก ถ้าเราเชื่อพระเของเราทรงยิ่งใหญ่ ทรงเป็นเจ้าเหนือสารพัดสิ่ง ซึ่งนั่นก็หมายความว่าจะต้องมีหน่วยใหญ่จัดการสัมนาให้ความรู้ด้านการบริหารงานยุคใหม่ เพื่อสร้างผู้นำสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมา และสร้างระบบเครือข่ายให้เกิดขึ้นในโลกคริสตชนไทยเรา มีระบบศูนย์ข้อมูลข่าวสารคริสเตียนไทยที่ดี สามารถรู้ได้ทุกอย่างในการเริ่มพันธกิจใหม่ๆ สามารถหาแหน่งสนับสนุนในการเริ่มพันธกิจแห่งใหม่ได้ สามารถมีพี่เลี้ยงในการคอยให้คำแนะนำในการเริ่มปลูกคริสตจักรใหม่ ไม่ใช่ต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างไปหาการสนับสนุนต่างประเทศกันเอง มาถึงนี้แล้วพวกเราก็น่าจะหันมาถามตัวของเราว่า การที่จะฝันไปถึงปี2010 นั้น ผู้นำในองค์กรของเราได้มีโลกทัศน์ที่กว้างพอหรือยัง
2. รู้จักกลุ่มเป้าหมายของเราเป็นอย่างดี Customer Relationship Management
หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือว่า วิญญาณของผู้นำคริสตจักรจะต้องมีลักษณะที่สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มเป้าหมายของเราเป็นอย่างดี แน่นอนสิ่งแรกที่ผู้คริสตจักรจะต้องพึงกระทำก็คือ มีการจัดการเก็บข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายที่เรากำลังจะเข้าไปทำพันธกิจอย่างระเอียด เช่นจำนวนประชากร จำนวนครัวเรือน จำนวนสถานศาสนากิจ ความต้องการของคนในชุมชนนั้นๆ หรือแม้กระทั้งสิ่งที่คนในชุมชนนั้นๆปฏิเสธ ข่าวประเสริฐ สิ่งเหล่านี้จะต้องมีการจัดทำเป็นฐานข้อมูลให้เป็นระบบเพื่อการทำความเข้าใจทุ่งนาที่เรากำลังหว่านข้าว จะต้องมีการทำวิจัย ติดตามผลการทำงานอย่างเป็นระบบจริงๆ ซึ่งแน่นอนการที่เราจะทำได้ถึงระดับนี้ได้ หมายความว่าเราได้สร้างความพร้อมในตัวของผู้นำสายพันธุ์ใหม่เรียบร้อยแล้ว การที่จัดสัมนาเพื่อท้าทายผู้นำให้ออกไปทำพันธกิจอย่างเดียวจะไม่มีผลมากมาย เพราะผู้นำยุคเก่าที่ถูกผลักดันก็เหมือนกับเรารถรุ่นเก่าทำสีใหม่ ซึ่งถ้าให้ดีจำเป็นต้องมีการยกเครื่องใหม่ ในบางคริสตจักรระบบความสัมพันธ์ที่ดีต่อกลุ่มเป้าหมายยังไม่ดีพอเลย สังคมยังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า คริสตจักรคืออะไร ทำงานเกี่ยวกับศาสนา แต่ว่าวัตถุประสงค์เพื่ออะไร เมื่อมีคนใหม่ๆเข้ามาในคริสตจักร คริสตจักรก็ไม่สามารถมีการต้อนรับที่เกิดความประทับใจ ไม่มีการจัดเก็บข้อมูลเพื่อการติดตามผลในโอกาสต่อไป ซึ่งปัญหาคริสตจักรการหาลูกแกะใหม่ๆเป็นสิ่งที่ยาก แต่ความจริงแล้วการที่จะรักษาสภาพสมาชิกเก่าๆ เป็นสิ่งที่ยากลำบากมากกว่า เพราะสมาชิกเก่าๆฉลาดขึ้น มักจะออกเดินไปเที่ยวหาทุ่งหญ้าที่เขียวสด แอร์เย็นๆ ดนตรีเพราะๆ ที่จอดรถสะดวก ในที่สุดจะก่อให้เกิด การพูดปากต่อปาก Word of Mouth กระจายวงกว้างไปสู่มวลสมาชิก จุดตรงนี้แหละที่ผู้นำสายพันธุ์ใหม่จำต้องมีการปรับตัวเองเพื่อ สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อสังคมชุมชนที่เรากำลังบุกเบิกพันธกิจอยู่ จนทำให้เกิดการยอมรับจากสังคมนั้นๆให้จงได้ ตัวอย่าง สถานีโทรทัศน์ช่อง3 และITV มีการปรับปรุงผังรายการใหม่เพื่อสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ช่องสามงดข่าวแต่เพิ่มละครหวังดันเรตติ้งไล่บี้ช่องอื่นๆ แถมยังมีการจัดโปรโมชันลด แจก แถมอีกต่างห่าง หกเราจะเข้าไปทำงานช่วยสังคมนั้นๆ เรารู้จักสภาพที่แท้จริงของสังคมนั้นได้ดีหรือยัง
3. เรียนรู้ตลอดชีวิตรับใช้ Long Life Education การเป็นผู้นำสายพันธุ์ใหม่ จะไม่มีคำว่าหยุดการพัฒนาชีวิตของตนเอง จำต้องมีการฝึกวิทยายุทธ์ตลอดเวลา แต่ไม่ก็ไม่ได้หมายความว่าอาจารย์ท่านจะต้องไปร่วมเสียทุกการสัมนา ทุกการประชุมฟื้นฟู เพราะปัญหาเรามีสัมนาดีๆเยอะเกินไป เดี๋ยวกลุ่มนั้นกลุ่มนี้จัด แล้วเราก็กลายเป็นพวกที่ชอบปริโภคอาหารฝ่ายวิญญาณ ทำให้การพัฒนาตัวเองขาดคุณภาพ ไปรับเอาข้อมูลมากมายมาเก็บไว้ จนในที่สุดไม่รู้จะเอาหลักการใดมาใช้ในพันธกิจของตนเอง แต่สำหรับบางคนก็เข้าใจผิดคิดว่าตนเองมีพระวิญญาณช่วยสอนแล้วไม่จำเป็นจะต้องไปรับการอบรมที่ไหน เพียงอ่านพระคัมภีร์ และอธิษฐาน แล้วขึ้นเทศนาได้เลย ทำให้คำเทศนามีแต่เนื้อ สมาชิกกลืนเข้าไปไม่ไหว ผู้นำสายพันธุ์ใหม่จะไม่อาศัยประสบการณ์เดิมของตนเอง หรือของผู้นำรุ่นเก่าๆ มาเป็นกลยุทธ์ของตนเอง เนื่องจากสภาพสังคมในที่ๆที่เราทำงานอยู่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทุกองค์กรจะต้องมีการปรับกลยุทธ์ใหม่เสมอๆเพื่อเสนอพระกิตติคุณ เพื่อเราสามารถดึงใจของกลุ่มเป้าหมายได้ ผู้นำคริสตจักรจะต้องมีการอบรมสร้างเสริมทักษะตลอดเวลาเป็นการสร้างตาข่ายความคิดให้แตกแขนง รู้จักคิดค้นวิธีการนำเสนอข่าวประเสริฐ การสัมนาต่างๆที่เราเข้าไปร่วมอย่าคิดว่านั่นคือยาขมหม้อใหญ่ ที่จะสามารถรักษาโรคได้ทุกชนิด แต่มันเป็นเพียงยากระตุ้นชั้นดีที่ทำให้ผู้นำคริสตจักรรู้สึกตื่นตัวที่จะลุกขึ้นไปทำพันธกิจ ผู้นำสายพันธุ์ใหม่ตัวจริงกระทิงแดง จะไม่มีวันหยุดการพัฒนาตนเองเด็ดขาด เพราะเมื่อไหร่ที่คุณหยุดการเรียนรู้ คุณจะหมดอนาคตการรับใช้ทันที คงไม่มีสมาชิกคนไหนภูมิใจในตัวของผู้นำของตน หากผู้นำคนนั้นยังคงเป็นเพียงผู้นำคริสตจักรที่ซื่อบื้อ
4. ใช้เทคโนโลยีให้เป็น High Technology
ผู้นำองค์กรสายพันธุ์ใหม่ นอกจากจะต้องทันโลกทันเหตุการณ์แล้ว จะต้องใช้เทคโนโลยีเป็นด้วย ไม่ใช่ว่าเราพยายามวิ่งตามเทโนโลยี แต่เรากลับไม่สามารถใช้มันได้อย่างคุ้มค่า ก็เท่ากับว่าเราได้จ่ายค่าสิ่งนั้นมาด้วยราคาที่แพงมหาโหด คอมพิวเตอร์มีประโยชน์มากกว่าการพิมพ์งาน พิมพ์คำเทศนาเท่านั้น องค์กรจะต้องส่งผู้นำคริสตจักรของตนออกไปรับประสบการณ์ใหม่ๆในการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ มารซาตานมันยังเรียนรู้จักใช้เทคโนโลยีใหม่ๆในการทำพันธกิจของมัน มันนำจานดาวเทียมมาเพื่อการสื่อสารในองค์กรของมัน แต่คริสตจักรยังมัวมานับจำนวนดาวไถอยู่ ทำให้พันธกิจ 175 ปีไปได้ไม่ไกล ในอดีตขอเพียงคุณมีความรู้พระคัมภีร์เล็กน้อยคุณก็สามารถนำคนมากมายรับเชื่อได้แล้ว แต่ในยุคปัจจุบันการพูดอย่างเดียวไม่เพียงพอแล้ว จำเป็นจะต้องเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ ต่างๆอำนวยความสะดวกในพันธกิจของเราด้วย น่าเศร้าใจที่หลายคริสตจักรมีวัตถุดิบ มีปัจจัยแต่ผู้นำกลับขาดศักยภาพในการใช้เทคโนโลยีนั้นๆ ผู้นำองค์กรสายพันธุ์ใหม่จำต้องคล่องแคล่วในการใช้อิเล็กฯ ก้าวไปให้ทันเทคโนโลยีใหม่ๆ เราจะสามารถก้าวตามเทคโนฯได้ก็จะต้องมีการเรียนรู้เข้าไปศึกษาหาประสบการณ์ใหม่ๆ กับผู้รู้ทั้งหลาย เพื่อนำวิทยาการใหม่ๆเข้ามาใช้ในองค์กรของคริสตจักรต่อไป
5. ผู้นำสายพันธ์ใหม่ทำงานเป็นเครือข่าย Team Work
ในวงการคริสเตียนไทยเรามีศิลปินเดี่ยวเสียมาก ออกลุยประกาศคนเดียว สำเร็จคนเดียว เจอปัญหาคนเดียว ผู้นำสายพันธุ์ใหม่เน้นการทำงานเป็นทีม เป็นเครือข่าย เป็นทีมงาน ไม่ใช่ฉายเดี่ยว ชอบทำงานเป็นทีมเลิก มากว่าทีมเวิรด์ แน่นอนคนที่จะทำงานกับคนอื่นๆได้จะต้องมีจิตใจกว้างขวาง คนที่มีจิตใจแคบไม่มีทางที่จะทำงานเป็นทีมกับคนอื่นได้ การทำงานเป็นทีมจะต้องคิด และอธิษฐานมองเห็นนมิตร่วมกัน ปัญหาผู้องค์กร ณ วันนี้นั้นชอบเขียนรายชื่อหน่วยงานเป็นรูปแบบคณะกรรมการ มองดูน่าเชื่อถือ แต่ระบบการเงิน การตัดสินใจเจ้าพี่ลุยเองหมด หมกเม็ดกับลูกทีม บางคนชอบทำงานกับคนในตระกูลของตนเองมากกว่า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นอันตรายยิ่งต่อคริสตจักรไทย ผู้นำสายพันธุ์ใหม่จะมุ่งทำงานกับคนอื่น เปิดใจยอมรับความคิดเห็นของคนอื่นๆ ไม่ใช่มองคนอื่นยังเด็กกว่าตนเอง ผู้นำสายพันธ์ใหม่จะมีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน มีการถ่ายทอดเทคนิค ความรู้ วิธีการ ข้อมูลต่างๆแก่เพื่อนร่วมงาน และเพื่อนต่างองค์กรด้วยใจกว้างขวางอย่างพระอาจารย์ของเรา อย่างนี้จึงจะเข้าข่ายเป็นผู้นำยุคใหม่พันธ์ใหม่ตัวจริง
6. มีจรรยาบรรณ Ethics
ผู้นำสายพันธุ์ใหม่ จะต้องมีจริยธรรมประจำใจอยู่ข้างใน ไม่ใช่มุ่งเอาแต่ผลงาน ทำผลงานเข้าองค์กรของตนเท่านั้น ไม่ใช่พยายามสร้างหอบาเบลขึ้นในองค์กรของตนเอง จนไม่เคยเงยหน้าขึ้นมองดูคนอื่นๆบ้าง ความถูกต้อง ความใสสะอาดโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญในการเป็นผู้นำคน ผู้นำสายพันธุ์ใหม่จะต้องมีจรรยาบรรณในการนำเสนอพระกิตติคุณที่แท้จริง ไม่ใช่ทำทุกวิธีเพื่อจะได้ดวงวิญญาณมารวมกันในคริสตจักรเพื่อภาคภูมิใจว่า ว่าฉันทำงานประสบความสำเร็จกว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกัน แต่จะต้องดำเนินไปอย่างมีจรรยาบรรณ ผู้นำสายพันธุ์ใหม่จะไม่ประกาศข่าวประเสริฐในเชิงลบหลู่ศาสนาอื่นๆ ผู้นำบางคนหยิบฉวยเอาความอ่อนแอของกลุ่มเป้าหมาย ไปหาผลประโยชน์ หาการเงินสนับสนุนจากต่างประเทศเข้าในองค์กรของตนเอง ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้วก็ย่อมมีภาระใจกับประเทศที่ด้อยการพัฒนา พระเยซูคริสต์มิได้กระทำเช่นนั้น ทั้งๆที่พระองค์มีโอกาสบ่อยครั้งที่จะกระทำเช่นนั้น คุณธรรมประจำใจของผู้นำเป็นสิ่งที่สำคัญ เราไม่ใช่เพียรพยามมุ่งเพิ่มจำนวนสมาชิกคริสเตียนในประเทศ ให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ แต่ควรจะออกมาจากภาระใจข้างใน ที่อยากจะเห็นประเทศไทย มีคริสตจักรเพื่อพระคริสต์ เหตุฉะนั้นผู้นำสายพันธุ์ใหม่จะไม่มาเสียเวลากับการทะเลาะถกเถียงสำคัญว่าตนถูกต้อง แต่ผู้นำจะต้องเป็นคนที่มีคุณธรรม มีจรรยาบรรณ ต่อลูกแกะ และต่อเพื่อนร่วมงานในองค์กรและต่างองค์การ ต้องไม่เป็นคนกินเล็กกินน้อยกับลูกแกะ หรือมัวแต่รีดนมลูกแกะกินทุกวัน หรือ มีอะไรแอบแฝงอยู่ภายในลึกๆ หากเราเป็นเช่นนั้นแล้ว เราจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากสิ่งที่เราทุ่มเทออกไป ผู้รับใช้พระเจ้าอย่ารักษาอีโก้ไว้ในตัวเองมากเกินไป
7. มีความเชื่ออย่างพระเจ้า
เรามักจะพยายามสร้างความเชื่อด้วยตัวเองขึ้นมา จึงทำให้ความเชื่อของเราไปไม่ยาวไกล มีขีดจำกัด ไม่สามารถไปตามที่เราฝันไว้ เพราะเราพยายามปั้นความฝันขึ้นมากันเอง ผู้นำสายพันธุ์ใหม่ มุ่งที่จะเสาะหาการมีความเชื่อตามอย่างพระเจ้า ความเชื่ออย่างพระเจ้า เป็นความเชื่อที่สามารถเคลื่อนภูเขาไปสู่ทะเลได้ ความเชื่ออย่างพระเจ้าสามารถแยกน้ำทะเลแดงออกจากกันเพื่อให้ชาวยิวกว่า 3 ล้านคนเดินผ่านได้ ความเชื่ออย่างพระเจ้าคือสามารถสั่งห้ามลมพายุใหญ่ให้สงบลงได้ แต่หลายครั้งที่ผู้นำมักจะถูกสมาชิกบ่นว่าต่างๆนาๆ ว่าไม่มีฤทธิ์เดช คำเทศนาที่ไม่ฤทธิ์เดช คำอธิษฐานที่แห้งๆ ขาดพลังบ้าง ถ้าจะกระตุ้นให้เป้าหมายสำเร็จ ผู้นำจะต้องมีความเชื่อ และผู้นำต้องขอความเชื่อจากพระเจ้าเป็นส่วนตัว งานของมนุษย์เราสามารถบริหารงานไปด้วยมันสมอง และวิธีการใหม่ๆ แต่งานของพระเจ้าเป็นงานสูง การที่จะพบความสำเร็จได้จะต้องอาศัยความเชื่ออย่างพระเจ้า ผู้นำที่ปราศจากความเชื่อก็เหมือนกับขวานทื้อๆ ทำงานบริหารองค์กร ทำให้องค์กรเสียประโยชน์เสียมากกว่า นำภาระหนักมาสู่คริสตจักรเปล่าๆ ทำงานของพระเจ้าเป็นผู้นำใจเสาะไม่ได้ จะต้องเปี่ยมด้วยพลังแห่งความเชื่อ
8. มีการปรับคนในองค์กรอยู่เสมอ
รัฐบาลทุกยุคทุกสมัยมักจะมีการปรับคณะ ครม.สม่ำเสมอ หากเห็นว่าบุคลกรทำงานไม่เวิรด์ เท่าที่ควรจะเป็น ซึ่งทุกฝ่ายต่างก็ต้องยอมรับความจริงๆ เช่นเดียวกันหน่วยงานองค์กรคริสเตียน ก็ต้องมีการพิจารณาตนเองว่าทำงานนั้นๆก้าวไปได้ดีเป็นที่พอใจหรือไม่ ไม่ใช่ว่าได้ก้าวขาขึ้นเก้าอี้แล้วจะไม่มีคำว่าก้าวขาลง รักษาการตำแหน่งอยู่อย่างนั้นตลอดปีตลอดชาติ ทำให้คริสตจักรไทยเติบโตได้ไม่เต็มลูกสูบ ไม่หนำใจยังพยายามสร้างรั้วป้องกันตำแหน่งของตนเองอีกต่างหาก ผู้นำสายพันธ์ใหม่จะไม่ยึดติดกับคำว่าตำแหน่ง แต่จะพิจารณาดูว่าตนเองมีกิ๊ฟท์ในด้านไหน ของประทานได้มาไม่เหมือนกัน หรอก พระเจ้าทรงวางเราไว้ในพระกายที่ต่างกัน แต่ก็เพื่อสนองด้วยวัตถุประสงค์เดียวกันในพระคริสต์ ผู้นำองค์กรสายพันธุ์ใหม่จะไม่ยอมรับการเป็นกรรมการที่นั่นที่นี่ จนเวลาที่จะทำพันธกิจในท้องถิ่นไม่มี แต่เราจะออกไปทุ่มเทจิตวิญญาณลงเพื่อคริสตจักรท้องถิ่น ด้วยหัวใจผู้รับใช้พระเจ้าอย่างแท้จริง องค์กรต่างๆจะต้องไม่ควบคุมนิมิตของผู้นำแต่ละคน และผู้แต่ละคนก็ต้องเปิดใจกว้างที่จะให้โอกาสแก่คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำงานแทนตนเองบ้าง
คอลัมนิสต์คริสเตียน
โดย ศิษยาภิบาลเรวัฒน์ เทพจักร์
คริสตจักรศรัทธาร่วมใจ