คำเทศนาเรื่อง สิ่งที่โมเสสเลือก ฮีบรู 11:24-27
คอลัมนิสต์คริสเตียน ผลงานเขียนคำหนุนใจ บทเรียนข้อคิดต่างๆ คำเทศนา
โดย ศิษยาภิบาลเรวัฒน์ เทพจักร์
คริสตจักรศรัทธาร่วมใจ

ชีวิตของมนุษย์มีสิ่งที่ต้องเลือกและตัดสินใจตลอดเวลา  เช่น เลือกคู่ครอง เลือกสถานที่แต่ง เลือกสถานที่คลอด เลือกที่จะเรียน เลือกสาขาที่จะเอนฯ  เลือกทำงาน   ใครเลือกอะไรก็จะได้สิ่งนั้น  เช่นปลูกบ้านผิดแบบก็คิดจนบ้านพัง  แต่ถ้าแต่งงานผิดคิดจนผัวตาย …..
แต่ก็เพราะการตัดสินใจที่เลือกทางเดินชีวิตนี่เอง ฮับราฮัมบุคคลในพระคัมภีร์ก็กลายเป็นคนที่ชัยชนะใจพระเจ้าพระเจ้าถือว่าเขาเป็นบุรุษที่มีความดี ความชอบธรรมในตน  และได้รับพระพรไปชั่วลูกชั่วหลาน  แต่ไม่เพียงเท่านั้นในพระคัมภีร์  ยังมีโมเสสที่พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงท่านว่า เป็นต้นแบบของคนที่มีศรัทธาในพระเจ้า  เป็นต้นแบบของคนที่เลือกตัดสินใจครั้งใหญ่ในชีวิต   การเลือกของเขาทำให้มีผลต่อวิถีชีวิตของคนยิวทั้งประเทศจนทุกวันนี้  ขอให้เรามาพิจารณาการเลือกของโมเสส 4 ประการที่เปลี่ยนชีวิต  ดู ฮีบรู 11:24-27

ประการที่ 1 โมเสสเลือกที่จะเป็นลูกของชาวยิว   ฮีบรู 11:24
– บุตรของธิดาฟาโรห์   โมเสสนับว่าโชคดีตั้งแต่เด็กฯ ที่เขาควรจะตายแต่ก็โตมาได้  โดยการช่วยเหลือของพระเจ้า และครอบครัว ตลอดจนพี่สาวที่ต่างก็มีบทบาทสำคัญ ฉุดและช่วยให้เขาลอยลำมาพบกับธิดาฟาโรห์  จากดินกลายเป็นดาวเมื่อ พระนางธิดาฟาโรห์เมตตารับเป็นบุตรบุญธรรม   ได้รับโอกาส และสิทธิพิเศษกว่าเด็กทั่วไป  เป็นความใฝ่ฝันที่เด็กทั้งปวง   นี่คือฐานะบุตรของธิดาฟาโรห์  ซึ่งต่อภายหน้าเขาอาจจะได้เลือนขั้นเป็นฟาโรห์องค์ต่อไป….   ต่างกับ

– บุตรของทาสชาวฮีบรู   ฐานะของชาวยิวในสมัยนั้นก็คือบ่าว-ทาสใช้แรงงาน   เนื่องจากประเทศอิสราเอลตกเป็นทาสเมืองขึ้นของอียีปต์นานกว่า430ปี   นอกจากไม่ได้รับการดูแลเลี้ยงดูอย่างดีแล้ว ยังไม่มีโอกาสใดๆ  เมื่อเติบโตขึ้นก็เป็นเพียงแค่ทาสรับใช้ทำงานหนักคนหนึ่ง

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ : เมื่อโมเสสเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เติบโตพอที่จะคิดเป็นและคงจะหาโอกาสที่จะรู้ว่าแท้จริงเขาเป็นลูกของใครกันแน่   และมาถึงจุดที่เขาค้นพบความจริงว่า  เขาไม่ได้เป็นบุตรของธิดาฟาโรห์ แต่เขาเป็นลูกของทาสชาวฮีบรู   เป็นพวกเดียวกับทาสบริภาร ที่ถูกกดขี่ข่มเหงอยู่นั้นเอง    การรู้ความจริงเช่นนี้เป็นเหตุทำให้โมเสสน่าจะเก็บความลับไว้  และรักษาความจริงนี้ไว้ไม่ให้ใครรู้เด็ดขาด    เพราะมันคือตัวทำลายอนาคตของเขา    แต่เขากลับเลือก       และประกาศชัดเจนว่า  เขาเลือกที่จะขอรับเอาสัญชาติและเชื้อชาติยิว    นี่คือจุดเปลี่ยนวิถีชีวิตอย่างสิ้นเชิง   เขาไม่ให้ใครเรียกตนเองว่าธิดาฟาโรห์อีกต่อไป  แต่เขายินที่จะถูกตนเรียกว่าเป็นทาสชาวฮีบรู…  เพราะเขาเต็มใจที่จะเปลี่ยนเชื้อชาติของตนเอง  และยอมรับเอาพระคุณพระเจ้าผู้ที่ช่วยชุบชีวิตของเขามา    นี่คือผลการของเป็นคนที่เต็มเปี่ยมด้วยศรัทธาต่อพระเจ้า  คือเลือกเอาความจริง   เลือกเอาพระเจ้าเที่ยงแท้  เลือกที่จะเดินกับพระเจ้าองค์นี้  แม้ว่าจะเขาจะต้องมีฐานะที่เปลี่ยนแปลงไป   เขาก็ได้ตัดสินใจเลือก   มันคือการตัดสินใจครั้งใหญ่ และสำคัญที่สุดของชีวิตจากดาวกลายมาเป็นดิน  จากเจ้าคนนายคนมาเป็นทาสเป็นบ่าว   สิ่งเหล่านี้พระคัมภีร์อธิบายว่านี่คือพลังความศรัทธาจริงๆเท่านั้น   ด้วยเหตุนี้โมเสสจึงกลายเป็นต้นแบบของคนที่มีความเชื่อ ที่เป็นการแสดงออกมาเป็นการตัดสินใจเลือก

ข้อคิด : ดังนั้นพวกเราก็ควรจะสำแดงออกมาของความเชื่อโดยการตัดสินใจอย่างโมเสสด้วย  คือประกาศตนว่าฉันคือลูกของพระเจ้า  ฉันเดินตามพระเจ้า เป็นบุตรของพระเจ้า  เราได้หลงทางไปและได้หันกลับมาหาพระเจ้าเที่ยงแท้และพร้อมที่จะให้คนอื่นๆเรียกตนเองว่าเป็นคริสเตียน  ไม่ใช่เป็นคริสเตียนแบบลับๆ  ก้าวมาแค่เท้าเดียว   เพราะทำ
เช่นนั้นก็ไม่ได้รับพระพรแต่อย่างใด

 

ประการที่ 2 โมเสสเลือกที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับคนอื่น  ฮีบรู 11:25
-ชนชาติของพระเจ้า   การเป็นชนชาติของพระเจ้าในเวลานั้นเป็นช่วงตกต่ำลง  และอยู่ในฐานะทาส ไม่มีสิทธิ และเสียงใดๆทั้งสิ้น    ซึ่งต่างกับฐานะของบุตรชายของเจ้าหญิงของฟาโรห์ที่มีทุกอย่างในชีวิต  ชีวิตมีความเกษมสำราญ  อยากทานอะไร อยากได้อะไร อยากไปที่ไหน  ไปที่ไหนมีแต่คนกราบคนไหว้ตาม   เป็นวิถีชีวิตที่มีเกียรติมีสง่าราศี  และดูดีกว่าฐานะของทาสชาวยิว   ที่ถูกใช้บังคับให้ทำงานหนักได้ค่าแรงน้อย  ถูกเอารัดเอาเปรียบจากคนรวย

-แต่พระคัมภีร์บันทึกไว้ว่า  โมเสสกลับเลือกเอาวิถีแบบนี้  คือเลือกที่จะขอร่วมทุกข์ร่วมสุขกับชนชาติของตนเอง  แทนการเริงสำราญในความชั่วร้ายของโลกนี้ที่ในอียีปต์สามารถมอบให้   เขายอมเสียสละและเลือกที่จะถอดเอาเครื่องแต่งกายของบุตรชายของธิดาฟาโรห์ออก และเอาเสื้อทาสมาสวมใส่แทน    “ ในสายตาของคนอื่นๆมองว่าเขาโง่”

จึงนับว่า…การกระที่ได้ใจของพระเจ้ายิ่งหนัก    ไม่แปลกใจว่าทำไมพระเจ้าเลือกใช้โมเสส และได้ปกป้องเขาไว้จากความตาย  และฉุดเขามาจากน้ำเพื่อให้เขารอดตาย  และเข้ามารับโอกาสผ่านพระราชวังก่อน    เพราะเขาเป็นคนที่เกล้าที่จะไม่ทำตามอำเภอใจตัวเอง     เขาได้ทุ่มเทใจของเขาต่อพี่น้องคนร่วมชาติ  ปัญหาความทุกข์ของคนในชาติก็คือปัญหาของเขา  บางทีเขาอาจจะเสียใจที่ได้ทารุณชาติของตนมามากกมายก็ได้  เมื่อเขารู้ว่าเขาเป็นชนชาติของพระเจ้า  ก็มีใจรัก   และเอาตัวเองไปคลุกกับชนชาติของตนอย่างเต็มที่กับพระเจ้า

เช่นเดียวกันในวันนี้   เมื่อพระเจ้าเลือกท่านให้มารับเอาความรอด  ท่านเป็นชนชาติของพระเจ้า  เป็นบุตรของพระเจ้า   ขอให้ท่านที่ได้แบบอย่างของโมเสสคือการเอาตัวเองมาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพี่น้อง  มาร่วมมือร่วมใจ  เอาปัญหาของพี่น้องมาคิดอธิษฐานเผื่อ  ห่วงใยกัน  ช่วยเหลือกัน   มีสิ่งใดที่ช่วยเหลือกันได้ก็ร่วมมือกัน  นี่คือแบบอย่างของคริสตจักรในยุคสมัยแรกๆด้วย   และคริสตจักรใดที่มีพี่น้องแบบนี้คริสตจักรจะเจริญขึ้นมาก  แต่ถ้าไม่มีแบบนี้อยู่ตัวใครตัวมัน คริสตจักรก็ไม่ต่างกับการเมือง   คุยกันเฉพาะมีผลประโยชน์    แต่ขอพระพรเป็นของคนที่ไม่มีผลประโยชน์ใดๆแต่ก็จะขอรักและทุ่มเทกับพี่น้องในพระคริสต์    นี่คือครอบครัวใหญ่ที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์รวมใจ   ท่านจะต้องเลือกว่าจะขอร่วมทุกข์กับพี่น้อง หรือขอเพียงแค่ร่วมสุขกับพี่น้องเท่านั้น

ประการที่ 3 โมเสสเลือกที่อดทนต่อการอัปยศ ฮีบรู 11:26
-ในการเลือกวิถีชีวิตแบบโมเสส แน่นอนก็ต้องเผชิญกับความทุกข์ลำบาก  เป็นชีวิตที่ไม่ค่อยคุ้นเคยนัก  เช่นเดียวกับโมเสสที่เขาต้องเดินทางไกลหนีไป   อยู่ในดินแดนที่ทุรกันดาร และมีอันตรายน่ากลัว   ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้เสียสละที่ยิ่งใหญ่  แต่บางทีก็สงสารตัวเองที่ต้องมายากลำบากเช่นนั้น   แต่เราเห็นว่าโมเสสท่านถือว่า  การอดทนต่อการอัปยศก็
เพื่อเห็นแก่พระคริสต์  ( ในมุมมองของคนบันทึกพระคัมภีร์)     ความหมายคือว่า   โมเสสยอมอดทนต่อความยากลำบากที่ตัดสินใจไปแล้ว   ไม่ว่าจะมีผลออกมาเป็นอย่างไร  เขาก็พร้อมที่จะอดทนและยอมรับ  เพราะเขามองเห็นปลายทางที่สวยงามกว่า  ที่พระเจ้าจอมอบให้เขา และชนชาติของเขา  2 ทิโมธี 2:12  ฮีบรู 12:2

คำว่าอัปยศ หมายถึง การไร้ซึ่งเกียรติ ศักดิ์ศรี     มันเป็นสิ่งที่ไม่ง่ายนักที่ คนหนึ่งที่มีทุกอย่างในชีวิต  แต่ยอมที่จะไร้ซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเพื่อพระเจ้า

-การเห็นแก่สิ่งเบื้องบนที่มีค่ามากกว่า  จึงนับว่าเป็นแบบอย่างของการมีจิตใจที่เข้มแข็ง และการเป็นคนมอบในด้านบวกกับชีวิต   ถ้าโมเสสเป็นคนอ่อนแอในตัวเอง เขาจะไม่สามารถเดินผ่านอุปสรรคปัญหานี้ได้เลย   แต่เขายอมอดทนต่อความยากลำบาก  ยากอบ 1:12   ยากอบ 5:7   ดังนั้น …พระคัมภีร์ก็ได้ให้เราเห็นแบบอย่างของคนที่มีศรัทธาว่า  เขาเลือกอย่างไร? เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า  ดังนั้นขอให้เราที่จะมีความอดทนต่อปัญหา อดทนบ้างเมื่อมาเป็นคริสเตียนแล้วอาจจะมีคนว่า   อดทนเมื่ออยู่เหมือนคน   อัปยศไม่มีเกียรติ  ไม่มีศักดิ์ศรี      เพราะเมื่อเราอดทนและผ่านการทดสอบในชีวิตจุดนี้ได้แล้ว  รางวัลก็จะเป็นของเรา
และให้ทราบว่าพระเจ้าก็เสาะแสวงหาคนของพระเจ้าที่มีหัวใจเช่นโมเสสเพื่อพระองค์

ประการที่ 4 โมเสสเลือกที่จะเดินออกจากอียีปต์สู่คานาอัน    ฮีบรู 11:27
-เมื่อโมเสสหันมาเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้า  เขาเริ่มเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า  และรู้ว่าพระเจ้าต้องการย้ายชาวยิวออกจากการเป็นทาส  ไปสู่การเป็นไท   และมอบคานาอันให้เขาเป็นรางวัล   ด้วยเหตุนี้โมเสสจึงกลับมาที่อียีปต์เพื่อนำชนชาติอิสราเอลออกจากการเป็นอิสระภาพ โยกย้ายผู้คนออกไปเป็นล้านๆคนเพื่อเดินผ่านน้ำและทะเล เพื่อไปตั้งรกรากใหม่

เช่นเดียวกัน   คริสเตียนเมื่อเรากลับใจมาหาพระเจ้า   พระเจ้าก็ท้าทายให้เราก้าวออกมาจากความบาป และเดินออกจากความมืดสู่ความสว่าง  จากนรกมาสู่สวรรค์    พระเจ้ามอบชีวิตนิรันดรที่สวรรค์ให้เราไปรับ    แต่ระยะทางนั้นพระเจ้าต้องการให้เราเดินผ่านถิ่นทุรกันดารที่เต็มไปด้วยความยากลำบากในชีวิตบ้าง  เพื่อพิสูจน์ความเชื่อ และเป็นปกติธรรมดาที่ทองคำก็ต้องผ่านการหล่อหลอมชีวิตด้วยไฟ    ก็ขอให้เราทุกคนสามารถเดินผ่านออกมาได้จริงๆ  อย่าหันหลังกลับไปชีวิตแบบเดิมๆ  ชีวิตที่ปราศจากพระเจ้า  ชีวิตที่ไม่มีความหวังใจใดๆ  เป็นทาสของความบาปและซาตาน

โมเสสเดินออกมาโดยไม่สนใจว่าฟาโรห์จะโกรธแค้นอย่างไร  เพราะมันจะต้องมีผลกระทบอย่างแน่นอนหากชาวยิว พากันหันกลับมาหาพระเจ้า   แต่เขาไม่กลัวว่าจะเผชิญกับการต่อต้านอย่างไรบ้าง   เพราะโมเสสเหมือนกับแน่ใจแล้ว่าได้พบกับพระเจ้า  และได้เข้าใจความหมายที่จริงของชีวิตในพระเจ้าเป็นส่วนตัวแล้ว   จึงเกิดความมั่นใจที่จะก้าวเดินไปกับ
พระเจ้าว่าเส้นทางนี้ไม่มีอะไรที่น่ากลัว หรือจะไม่มีปัญหาใดทำอันตรายเขาได้  เพราะพระเจ้าสถิตอยู่ด้วย

สรุป : ชีวิตคริสเตียนต้องเลือกที่จะเป็นแบบโมเสสในการดำเนินชีวิตยุคสุดท้ายนี้  ที่มีการการทดสอบ การทดลองในชีวิตมากมาย   ท่านจะเลือกชีวิตแบบโมเสสหรือไม่ ?