พระคัมภีร์ ฮาบากุก บทที่ 3:17-19
ข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระเจ้า
คอลัมนิสต์คริสเตียน ผลงานเขียนคำหนุนใจ บทเรียนข้อคิดต่างๆ คำเทศนา
โดย ศิษยาภิบาลเรวัฒน์ เทพจักร์
คริสตจักรศรัทธาร่วมใจ
สถานการณ์บางสถานการณ์ เรื่องบางเรื่องเราอาจจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้เลย บางเรื่องแม้กระทั่งเราตายไปแล้วมันก็อาจจะไม่เปลี่ยนได้ อย่ารอจนกว่าสถานการณ์ค่อยๆดีขึ้นก่อนถึงจะชื่นชมยินดีในชีวิต สิ่งที่เราสามารถเปลี่ยนมันได้คือทัศนคติ มุมมองของเราเอง กระสวยของความคิดของเราเอง พระคัมภีร์ที่หนุนใจเราในวันนี้ปรากฎในฮาบากุก ข้อพระคัมภีร์ที่ถือเป็นพระคำโดดเด่นและชูใจคริสเตียนได้เป็นอย่างดีก็คือ ฮบก3:17-19 ซึ่งเป็นถ้อยคำของผู้เชื่อที่กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระเจ้าแม้สถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวร้ายขึ้น จากความโศกเศร้าให้กลับกลายเป็นความชื่นบานยินดีในพระเจ้าได้โดย 3 ประการดังนี้
1.เปิดใจกับพระเจ้า ฮบก 1:1-4
เบื้อหลัง : คำว่าฮาบากุก แปลว่า การสวมกอด หรือในคำกริยาภาษฮีบรู แปลว่า ประสานมือ หรือโอบอุ้ม ฮาบากุกรับใช้พระเจ้าในรัชสมัยของกษัตริย์เฮโอยาคิม ฮาบากุกเป็นผู้เผยพระวจะ ฮาบากุกได้เริ่มเขียนถึงข่าวสารแห่งความหวังและการหนุนใจ แม้ว่าจะเกิดความสงสัย และสับสนในยามที่ความบาปแพร่ระบาด แต่การที่ฮาบากุกได้พบพระเจ้า เพ่งความสนใจไปหาพระเจ้า เขาสามารถเปลี่ยนจากความสงสัย กลายเป็นความศรัทธา และเปลี่ยนความสับสนให้เป็นความเชื่อมั่นอีกครั้งได้อย่างไร?
ก.จงสังเกตสิ่งที่ฮาบากุกถามพระเจ้า
-นานสักเท่าใด ? พระองค์จะทรงสดับฟัง
-หรือจะต้องเผชิญกับความทารุณ สักเท่าใดพระเจ้าจะมาช่วย ?
-ไฉนให้ข้าพเจ้าเห็นการชั่ว สภาพที่ตกต่ำ ความบาป ความไม่ยุติธรรม การแบ่งแยก การแตกกกแตกเผ่าในผู้
เชื่อ
หนังสือฮาบากุกเริ่มต้นด้วยการไต่ถามข้อกังหาต่อพระเจ้า ( อีกนานสักเท่าใด ?) เช่นเดียวกับคริสเตียนวันนี้มักถามพระเจ้าว่า อีกนานไหม? เราเองมีข้อกังขาไม่แพ้ฮาบากุก คำถามมากมายที่ยังไม่ได้รับคำตอบที่โดนใจ จุใจอย่างเต็มๆ ฮาบากุกตั้งคำถามว่าทำไมพระเจ้าให้ตนต้องมาเห็นสภาพความทารุน ความบาป ความชั่วร้าย การทะเลาะวิวาท การทุ่มเถียง ผู้คนจิตวิญญาณ ถอยหลัง เช่นเดียวกันเราผู้เชื่อ เมื่อเราต้องเผชิญหน้ากับความสับสน คำถามที่ไม่เคลียร์ สารพัดปัญหาที่ล้อมรอบกาย อาจทำให้เราสับสน และเกิดคำถามว่า อีกนานไหมเนี้ย ? อีกนานสักเท่าไรสิ่งที่เราทูลพระองค์จะตอบให้ เป็นสิ่งที่ดีเหลือเกินที่คริสเตียนเมื่อเผชิญปมปัญหาเราจะเพ่งความสนใจไปที่พระเจ้า ทูลถามพระเจ้า ปรึกษาพระเจ้า คุยกับพระองค์ด้วยการเปิดจิตใจกับพระเจ้า
ตัวอย่าง เฮเซคียาห์ เมื่อพระเจ้าแจ้งว่าเขาต้องตาย ให้รีบเคลียร์ธุระบ้านเมืองเสีย พระองค์ก็ทุกข์ใจเหลือเกิน จึงหันหน้าเข้า
ผนังร้องไห้ฟูมฟาย พระองค์ยังไม่พร้อมที่จะตาย ดูเหมือนมันไม่ยุติธรรมและไม่ค่อยเข้าท่าเลย เขาจึงเริ่มอธิษฐานบอกถึงสิ่งที่เขากำลังต่อสู้หนัก และสุดท้ายพระเจ้าทรงระลึกถึงคำอธิษฐานของเขา จึงเพิ่มวันเวลาชีวิตต่อให้อีก 15 ปี
อิสยาห์ 38: 5 ”จงไปบอกเฮเซคียาห์ว่า พระเยโฮวาห์พระเจ้าของดาวิดบรรพบุรุษของเจ้าตรัสดังนี้ว่า เราได้ยินคำอธิษฐาน
ของเจ้าแล้ว เราได้เห็นน้ำตาของเจ้าแล้ว ดูเถิด เราจะเพิ่มชีวิตให้เจ้าสิบห้าปี
ยอห์น16:24 แม้จนบัดนี้ท่านยังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา จงขอเถิดแล้วจะได้ เพื่อความชื่นชมยินดีของท่านจะมีเต็มเปี่ยม ดังนั้น : ทุกๆวันของเราหากมีเรื่องราวอะไรจงทูลถามพระเจ้า จงอ้อนวอนต่อพระองค์ ระบายความในใจทั้งสิ้นออกต่อพระเจ้า อย่าเกรงใจพระเจ้า อย่าคิดว่าเป็นการรบกวนพระ ธรรมชาติของมนุษย์เขาไม่ชอบให้เราแบมือขอ คนมักจะลำคาญใจ เบื่อหน่าย แต่พระเจ้าชอบที่อยากให้เราทูลขอ ทูลถามพระองค์ตลอดเวลา ดังนั้นอย่าหยุดอ้อนวอน……
ข.จงสังเกตสิ่งที่ พระเจ้าตอบ ฮบก 1:6
บ่อยครั้งที่คริสเตียนก็ประหลาดใจ เมื่อขออย่างพระเจ้าตอบให้อีกอย่าง ฮาบากุกขอพระเจ้าให้เขาผ่านพ้นปัญหา แต่พระเจ้า
ให้เขาผ่านพบกับมรสุม พระเจ้ากลับนำเอาบาบิโลนที่สมัยนั้นพวกนี้มีความขมขื่น และใจเร่าร้อนในการรบ ในการล่าอาณานิคม คนเหล่านี้ออกไปทั่วโลกเพื่อยึดเอาบ้านเมือง ให้เกิดนองเลือดและสงคราม คนเหล่านี้มีอาวุธมีเครื่องมือเหลือเชื่อ มีม้าเหมือนวิ่งไวกว่าเสือดาว ดุร้ายยิ่งกว่าหมายป่ายามเย็น บินไปดุจดังนกอินทรีย์ และนำคนไปเป็นเชลย อีกทั้งพวกเขาชอบหัวเราะเยะเย้ยให้กับศัตรู บางครั้งที่เราขอขนมปัง พระเจ้าเหมือนได้ก้อนหิน ขอความสำเร็จกลับได้ความล้มเหลว ขอเพื่อนกลับได้ศัตรูเพิ่ม ขอความอดทนกลับได้การทดลองใจ สิ่งเหล่านี้ไม่ได้บ่งบอกแสดงว่าพระเจ้าด้อยอำนาจไปแล้ว หรือพระเจ้าแกล้งเรา หรือเทวดาถ้าจะบ้องๆ แต่สิ่งเหล่านี้กำลังสอนเราอย่างไรหรือ ?
* พระเจ้าอยู่เหนือสถานการณ์ต่างๆในชีวิตของมนุษย์ ของท่าน และของข้าพเจ้า พระเจ้าทรงพระสติปัญญาล้ำเลิศ
พระเจ้าต้องการให้บทเรียนแก่คนที่ทอดทิ้งพระเจ้า เพื่อเขาจะกลับมาหาพระเจ้า เรียนรู้จักพระเจ้าอีกครั้ง
* ทำให้เราเรียนรู้ว่า เมื่ออธิษฐานไม่ควรตีกรอบคำตอบให้พระเจ้าทำตาม หรือลอตหวยให้ออกตามใจตัวเอง เป็นการ
ง่ายดายที่เราจะอธิษฐานแบบสั่งการไปเลยครับพระเจ้า เราไม่แยแสว่าพระเจ้าคิดว่าอะไรดีที่สุด…
*บางครั้งสถานการณ์ที่เงียบเฉพาะพระพักตรพระเจ้า ไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าไม่สนใจใยดี
บางครั้งพระเจ้าให้สิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราตั้งความหวังไว้ บางครั้งพระเจ้าให้เราเผชิญกับกองทัพที่น่ากลัว คริสเตียนจะต้องตั้งรับกับสิ่งที่คาดไม่ถึงเมื่อเราทูลขอต่อพระเจ้า บางครั้งพระเจ้าใช้เครื่องมือที่หนักเพื่ออบรมสอน และสร้างชีวิตของเรา วันนี้เราอาจจะเคยนึกท้อใจที่อุตส่าห์ทุ่มเททั้งกายและใจเพื่อพระเจ้า และผู้อื่น ตั้งใจอธิษฐานเผื่อใครบางคน แทนที่เราน่าจะเห็นพระเจ้าทรงตอบ แต่เรากลับเห็นพระเจ้านิ่งเฉย ตลอดเวลาที่ดำเนินกับพระเจ้า คงจะมีสารพัดคำถามมากมายที่ไม่เคลียร์ แต่เราก็ไม่ควรลืมที่จะต้องกราบทูลพระเจ้า เปิดจิตใจ เทจิตใจที่ปวดร้าว และความไม่เข้าใจทั้งหลายทั้งปวง เทกองต่อพระเจ้า แล้วเราก็จะพบกับความจริงและคำตอบ
2.เปิดตา เปิดหูต่อพระเจ้า ฮบก 2:1-2
ข้าพเจ้าเฝ้าดูอยู่ ข้าพเจ้ายืนที่หอคอย ฮาบากุกกระทำเช่นนี้เพื่อ
1.พระเจ้าจะตรัสอะไรแก่ข้าพเจ้า ?
2.และข้าพเจ้าจะตอบพระองค์อย่างไร ?
บทเรียนจากบทนี้สอนให้เรารู้ว่า เพียงแค่การทูลอธิษฐาน มอบปัญหาต่อต่อพระเจ้าเท่านั้นไม่เพียงพอ เราจำต้องทำมากกว่านั้นคือคอยรับใช้พระเจ้า เป็นการสำแดงออกว่า
1.เราได้มอบปัญหาของเราเป็นปัญหาของพระเจ้า เราจะต้องดึงตัวเองออกจากความกังวลใจ 1ปต5:7 จงละความกระวนกระวายไว้กับพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงห่วงใยชีวิตของเรา โดยการยืนปักหลักอยู่ที่หอคอย หอคอยของชาวยิวมีมากมาย คนที่ยืนอยู่บนหอคอยที่ราบสูงจะได้เปรียบกว่า จะสามารถมองเห็นทุกสิ่งเกิดขึ้นชัดเจนกว่า เราควรจะหันหลังให้กับความกังวลใจเหล่านั้น แล้วเพ่งไปที่พระเจ้า นี่คือเคล็ดลับของความสุข อ.เปาโลก็สอนเช่นกันใน ฟป4:6-7 เมื่อเรามอบเรื่องเหล่านั้นต่อพระเจ้า เราไม่มีสิทธิที่จะเอาสิ่งเหล่านั้นมาแก้ไขด้วยตัวของเราเองอีก ถือเป็นการไม่ให้เกียรติพระเจ้า
2.แสดงถึงการคาดหวังคำตอบจากพระเจ้าเท่านั้น ฮาบากุกยืนเฝ้าคอยพระเจ้าบนหอคอย เพื่อที่จะมองดูว่าพระเจ้าจะทรงกระทำอย่างไร เมื่อเราทูลอธิษฐานกับพระเจ้าเราต้องจริงจังและถือว่าเรื่องนั้นสำคัญอยู่ และเราเองก็ยังคงต้องการคำตอบนั้น จดจ่ออยู่ที่พระเจ้าไม่ใช่จดจ่อกับสิ่งที่คาดหวัง ( คริสเตียนหลายครั้งเมื่ออธิษฐานอะไร เราก็ปักใจของเราอยู่กับสิ่งของที่ขอไป) แต่ฮาบากุกท่านกลับตาจับจ้องอยู่ที่พระเจ้า คอยเฝ้าดูว่าพระเจ้าจะตรัสบอกกับเขาเช่นไร และเขาจะทูลด้วยความทุกข์อย่างไรต่อพระองค์
ดังนั้นคริสเตียนไม่เพียงแค่ระบายปัญหาความทุกข์ให้พระเจ้าฟังเท่านั้น แต่เราจะต้องเฝ้าดูว่าพระเจ้าจะตอบแก่เราเช่นใด ปัญหาของมนุษย์ทุกคนคือ ชอบพูดแต่ไม่ชอบที่จะฟัง นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์สอนไว้ว่า ” จงช้าในการพูดไวในการฟัง” ยากอบ 1:19 ดูก่อนพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงทราบข้อนี้ จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ คนสมัยนี้กลับไวในการพูด ไวในการโกรธ โกรธง่ายๆ โกรธให้กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง และเรามักเอาปืนใหญ่ไปไล่ยิ่งแมงวัน สดุดี 46.10 กล่าวว่า ?จงนิ่งเสีย และรู้เถิดว่า เราคือพระเจ้า บางครั้งปัญหาในครอบครัวเกิดขึ้น เพราะการฟังไม่ได้ศัพท์จับไม่ได้ความ
3.เปลี่ยนความคิดใหม่ ฮบก 3:16
เมื่อฮาบากุกยืนเผชิญกับปัญหา เห็นปัญหาจนชอกช้ำใจ เสียใจ และสะเทือนใจ จึงทำให้เขาวิตกกังวลใจ มีความทุกข์ระทมใจ ถ้อยคำแต่ละคำที่กล่าวเอยออกมามีแต่คำว่า ทำไม ? ทำไม ? อีกนานสักเท่าใดหรือ ? ถ้อยคำเปล่านี้ส่อให้เห็นถึงคนที่กำลังสับสน เดินอยู่ในอ่างความคิด อยู่ในวังวนของความท้อถอย จึงทำให้เราเริ่มมองโลกในแง่ร้ายเสมอๆ เห็นปัญหาเล็กๆเป็นปัญหาใหญ่ๆ บางทีเราก็อาจจะวิพากวิจารณ์พระเจ้าไปต่างๆนาๆตามความคิด และการเห็นในมุมของเราเอง
เมื่อเราอยู่ปราศจากความคิดแบบพระเจ้า มองจากหอคอยของตนเอง เราจะเริ่มสงสัยพระเจ้า เราเริ่มไม่อยากถวายสิบลดแด่พระเจ้า เราเริ่มมีคำถามต่างๆนาๆว่าทำไมต้องทำ ? ทำไมต้องทุ่มเทชีวิตกับพระเจ้าและคริสตจักร บางทีเราก็อาจจะถามว่า เราจะทำแบบนี้อีกนานสักเท่าใด ? อะไรๆที่เราเคยทำให้พระเจ้าเราเริ่มตั้งแง่ และมีเงื่อนไขไปหมด และเรียนรู้จักบ่นว่าพระเจ้า ต่อรองพระเจ้า และ ไม่อยากทำตามที่พระเจ้าบอกไว้ในพระคัมภีร์ โดยอ้างว่าสมัยนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เราคิดเล็กคิดน้อยต่อพี่น้องกันเอง เริ่มไม่สดชื่นในจิตวิญญาณ ทุกๆอย่างมองเป็นผลประโยชน์และธุรกิจเสียหมด เวลาของเราก็เริ่มมีคุณค่าสำหรับตัวเอง เป็นเงินเป็นทอง เราเริ่มหาอะไรๆที่ให้คุณค่ากับตัวเองมากกว่าที่จะรับใช้พระเจ้า หรือผู้อื่น เราเองก็ตั้งความหวังไว้สูง มีมารตฐานของตัวเองไว้สูง เราก็คิดว่าสิ่งที่เราคิดถูกต้องกว่าวิธีการของพระเจ้า เราเริ่มเรียกให้พระเจ้าทำตามในสิ่งที่เราต้องการ บางทีเราก็ตั้งระยะเวลากับพระเจ้าอีกต่างหากว่า กี่วันพระเจ้าต้องให้เราเห็นชัดเจน….
แต่เมื่อฮาบากุกได้สัมผัสกับพระเจ้าอีกครั้ง ได้เฝ้ารอคอยพระเจ้าตรัสกับเขา มุมมองและทัศนคติของเขาก็เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เห็นได้ชัดเจน และเขาก็ทูลปัญหาต่างๆที่กำลังต่อสู้และเผชิญกับอยู่นั้น ทำให้เขาเริ่มเห็นทางออก เห็นถึงคำตอบ เห็นว่าวิธีของพระเจ้านั้นดีเหลือเข้าใจและเกินบรรยาย
ดังนั้นในคำอธิษฐานของเราควรจะเป็นคำอธิษฐานที่ถ่อมใจต่อพระเจ้า ฮบก 3:1 ไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ เมื่อฮาบากุกได้ยืนอยู่เหนือหอคอยที่สูง และมองลงมาเห็นสภาพปัญหาต่างๆ เขาไม่มีข้อกังขาใดๆ เขากลับยื่นขออุทธรณ์ต่อพระเจ้าเพื่อขอการอภัยโทษจากพระเจ้า ( ไม่รู้จะเหมือนคนไทยกำลังทำเพื่อคุณทักษิณหรือเปล่า ) ฮาบากุกเริ่มยอมรับได้ว่า สิ่งที่พระเจ้าทำลงไปในชีวิตของเขาในบ้านเมืองของเขา ในสังคมของเขานั่นถูกต้องดีแล้ว สมแล้ว……
เขาเริ่มกล่าวไว้ใน ฮบก3:17-19 ว่า แม้สถานการณ์จะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นเลยสักเท่าไรเลย ต้นมะเดื่อที่เคยดกดำก็ไร้ดอกบาน เถาองุ่นก็เหี่ยวแห้งไป แม้ต้นมะกอกเทศก็ตาย ฟ้าฝนก็ไม่ได้ตกลงมาเพื่อทุ่งนา ฝูงสัตว์ก็ล้มตายไปด้วยโรคซา หรือหวัดหมู สรุปแล้วก็คือว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้นวันต่อวันไม่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นแต่อย่างใด แต่คนของพระเจ้าที่รับการเปลี่ยนแปลงความคิดแล้ว เขาจะยังสามารถมีความชื่นชมยินดีในพระเจ้าได้ ความสุขของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินทอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าเงินของเรามีฝากไว้ธนาคารเท่าไร
ให้สังเกตว่า ความกังวลถูกเปลี่ยนไปเป็นการนมัสการ ความกลัวกลายเป็นความเชื่อ ความหวาดระแวงกลายเป็นความไว้วางใจ ความสิ้นหวังกลายเป็นความหวัง และความปวดร้าวใจแสนสาหัสมลายกลายเป็นการเทิดทุนบูชา สิ่งที่เริ่มต้นด้วยการสงสัยกลับจบลงด้วยความอัศจรรย์ใจ คำตอบ ต่อคำถามของฮาบากุก ที่ขึ้นต้นด้วย คำว่า เหตุไฉน (why?) ความว้าวุ่นใจของเขา ถามว่า ? ทำไม จึงมีแต่ความสับสนอลหม่าน แต่ความสับสนนั้นก็ได้รับการเยียวยาด้วยความเข้าใจ ที่ว่าใครเป็นผู้ควบคุมอยู่เหนือสถานการณ์ทั้งสิ้น ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนความคิดใหม่ ฮบก 3:16
เปลี่ยนมุมมองใหม่กับพระเจ้าแล้ว จะนำมาซึ่งความชื่นชมยินดี และมีความหวังใจที่ไม่ได้ยึดติดว่าจะต้องมีอะไรๆ ดังคนในโลกนี้คิดชีวิตคริสเตียนมีความสันติสุขแท้ ไม่ใช่เพราะว่าเรามั่งมีทางโลกอย่างเดียว แต่สุขเกิดขึ้นได้ แม้ว่าสถานการณ์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเลย เรากลับเรียนรู้ที่จะปรับเปลี่ยนตัวเอง ความคิดของตนเองใหม่ เป็นสันติสุขที่เกินความเข้าใจ ท่านก็จะไม่ทำเหมือนคนส่วนใหญ่ คือขมขื่นและต่อว่าพระเจ้า ท่านกล่าวว่า ?ถึงกระนั้นข้าพเจ้าจะร่าเริงในพระเจ้า ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของข้าพเจ้า? เพราะเหตุนี้ ท่านจึงได้รับกำลัง ได้รับการปกป้อง ได้รับการยกสูงขึ้นให้พ้นและมีชัยเหนือสถานการณ์ ท่านกล่าวต่อไปว่า ?พระเยโฮวาห์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าทรง เป็นกำลังของข้าพเจ้า พระองค์ทรงกระทำเท้าของข้าพเจ้าเหมือนอย่างตีนกวางตัวเมีย พระองค์ทรงกระทำให้ข้าพเจ้าเดินไปบนที่สูง? (ฮบก. ๓:๑๗-๑๙) ดุจกวางน้อย เป็นสัตว์ป่าชนิดหนึ่ง มีลักษณะของการระวังภัยสูงมากจึงมีอาการตื่นตัวและระมัดระวังภัยจนเป็นนิสัย ตีนคู่หลังของกวางตัวเมียมีความสามารถที่จะย่ำลงบนรอยตีนคู่หน้าพอดีโดยไม่พลาดแม้แต่นิ้วเดียว และยังสามารถตะกุยขึ้นที่สูงได้อย่างที่สัตว์ที่กำลังตามล่ามันไม่สามารถขึ้นได้ เมื่อคุณเลือกที่จะร่าเริงและเปรมปรีดิ์ในพระเจ้าอยู่เสมอ พระองค์จะทรงประทานกำลังและความสามารถพิเศษให้คุณ คุณจะไม่พลาดจากเส้นทางที่นำชีวิตให้ก้าวสูงขึ้น หากชีวิตคุณในเวลานี้ดูเหมือนจะขาดทรัพย์สิ่งของ อย่ามัวท้อแท้ พร่ำบ่น ต่อว่า อย่าเลื่อนวันแห่งความสุขของคุณออกไปอย่างไม่มีกำหนด คุณมีทรัพย์ล้ำค่าที่ไม่มีใครแย่งไปจากคุณได้อยู่ภายใน คุณมีความชื่นบาน สันติสุขและความชื่นชมยินดีของพระเยซูเอง ตัดสินใจวันนี้ที่จะเลือกร่าเริงในพระเจ้า เปรมปรีดิ์ในพระเจ้าแห่งความรอดของคุณ คุณจะมีความชื่นบานยิ่งกว่าได้ทรัพย์สินใดใดในโลก พระเจ้าจะทรงประทานกำลังและความสามารถพิเศษให้กับคุณ จะทรงนำคุณสู่เส้นทางที่พระองค์จะทรงยกคุณขึ้นสูงและมีชัยเหลือล้นเหนือสถานการณ์ และจะมีประสบการณ์กับชีวิตครบบริบูรณ์ที่พระเยซูได้เสด็จมาเพื่อประทานแด่คุณ