คริสตจักรแตกคือน้ำพระทัยจริงหรือ ?

ความแตกแยกของสังคมของเรา
หูที่ชินชา ตาที่เลือบมองเห็นสภาพของผู้คนในบ้านในเมืองที่พึ่งผ่านพ้นวาระแห่งการทะเลาะ สู่วาระการคืนดีกัน   ทำให้อดคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าในปัญญาจารย์ไม่ได้ว่า  ? มีวาระฉีกขาด และวาระเย็บ  วาระนิ่งเงียบ และวาระพูด   มีวาระรัก และวาระเกลียด  วาระสงคราม และวาระสันติ ?  นี่คือสัจธรรมของชีวิตมนุษย์โลก     จริงๆนะการขัดแย้งมันช่างไม่ได้ทำให้มีอะไรที่ดีขึ้นแม้แต่นิดเลย      คนที่ต้องได้รับผลกระทบเต็มๆก็คือประเทศชาติของเราเอง   บ้านเมืองของเราที่รักษาสันติภาพมาด้วยหยาดเหงื่อยด้วยเลือดเนื้อและชีวิต    แต่เรากับต้องมาพ่ายแพ้ต่อกันเสียเอง   สีเหลืองหรือแดงกลายเป็นเครื่องหมายของการแบ่งขั้วและแยกฝูงชนว่าใครอยู่ฝ่ายไหน หรือใครคือคนของใคร   และมุมมองแนวความคิดก็ดูเหมือนจะมองต่างมุมกันชัดเจน  แยกออกจากกันเหมือนฟ้ากับดิน มืดกับสว่าง ขาวกับดำ      คนที่เฝ้ามองดูอยู่กับหวั่นๆใจว่าเรื่องนี้จะลงเอ่ยอย่างไร   ไม่ต่างกับครอบครัวหนึ่งที่สมาชิกในครอบครัวต่างก็ไม่ยอมลดฐิทิ   เรื่องที่คนส่วนมากทะเลาะกันมักเกิดจากเรื่องเล็กๆน้อย เรื่องที่ไม่เป็นเรื่องอะไรมากนัก       อิทธิพลของความขัดแย้งมันกำลังคืบคานมาสู่สังคมคริสเตียน  แม้ว่าเราจะมีพระเจ้าองค์เดียวกัน ใช้พระวจนะฉบับเดียวกัน  มีแผ่นดินสวรรค์ที่จะต้องขึ้นไปอาศัยอยู่ที่เดียวกัน    แต่เราก็ไม่วายที่จะขัดแย้งกันเอง   เหมือนราวกับว่าสวรรค์ไม่ต้องเจอกันอีกเลย  ไม่นับญาติดีหรือเผาผีกันอีกแล้ว   แล้วอย่างนี้เราจะไปป่าวประกาศให้ใครที่ไหนกันว่าพระเจ้าของเราเป็นความรัก

คริสตจักรไม่น้อยในเวลานี้ที่แตกแยกกัน  บางแห่งแยกตัวออกไปถึงห้าสิบคนบ้าง ยี่สิบคนบ้าง  ทั้งๆที่เริ่มแรกเดิมทีก็คนที่เคยกินข้าวแดงแกงร้อนหม้อเดียวกันนั่นแหละ    ปากอ้างว่าเป็นลูกหม้อ เป็นศิษย์ก้นกุฏิ   ก็วันนี้กลับมายืนสาดโคลนใส่กัน ว่ากันไปว่ากันมาทำสงครามปากและร่อนอีเมล์ไปทั่ว ป่าวร้องโฆษณาถึงอีกฝ่ายว่าเลว  โลกนี้มันกลมไปประชุมไหนๆก็ต้องแบกหน้ามาเจอกันอยู่ดี มือยกมือไหว้แต่ตาขยิบใส่กัน  สวมหน้ากากจัดฉากปั้นหน้า  อ่านมาตรงนี้อย่ารีรีบเปลี่ยนคลิกไปหน้าอื่นเลย

ความแตกแยกของคริสตชนในยุคแรกๆ

หากมองย้อนกลับไปพิจารณาดูคริสตจักรในยุคแรกๆว่ามีบ้างไหมที่คนของพระเจ้าทะเลาะกัน ขัดแย้ง  ขัดเคืองใจต่อกันแบ่งพรรคแบ่งพวกกัน    แตกกันเป็นกกแบ่งกอเป็นเหล่าเป็นคณะเป็นนิกาย    เราก็พอมีให้เห็นอยู่บ่อยๆ  เช่นว่าสาวกถกเถียงกันว่าใครเป็นใหญ่กว่ากัน    ลูกา22:24 มีการเถียงกันด้วยว่าจะนับว่าใครในพวกเขาเป็นใหญ่ที่สุด     กิจการ15:39 แล้วได้เกิดการขัดแย้งกันจนต้องแยกกัน บารนาบัสจึงพามาระโกลงเรือไปยังเกาะไซปรัส    40 แต่เปาโลได้เลือกสิลาส และเมื่อพวกพี่น้องได้ฝากท่านทั้งสองไว้ในพระคุณของพระเจ้าแล้ว ท่านก็ไป     ข้อพระคำเหล่านี้เปิดเผยให้เราเห็นว่าคริสตจักรยุค คนสมัยโน้นก็มีการขัดแย้งกันเช่นกัน   ถ้าอย่างนั้นการขัดแย้งแสดงว่าไม่ใช่เรื่องใหม่กะนั้นหรือ    มีหลายคนสรุปว่าการทะเลาะกันหรือแตกแยกกันเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้  เป็นเรื่องธรรมดา  จึงไม่แปลกใจที่เรายังเห็นผู้นำคริสเตียน หรือคณะธรรมกิจคริสตจักรทะเลาะเบาะแว้งกันตลอดเวลา   อาจจะเพราะเรื่องที่คิดไม่ตรงกันบางเรื่องบางประเด้นเท่านั้นเอง    หรืออาจจะความอิจฉาตาร้อนและอีโก้สูงที่ไม่ถ่อมใจพอที่จะน้อมกายหรือก้มหัวให้ใคร  กูมาคนเดียกูดังคนเดียว   บางแห่งน่าเกลียดมากการขัดแย้งกันเพราะว่าแบ่งเค้กไม่ลงตัวประมาณนั้น  เฮ้ย…(ถอนหายใจ)  ถ้าตราบใดที่ผู้นำคริสตชนยังมีมุมมองเช่นนี้  แล้วทำไมพระคัมภีร์จึงย้ำเตือนให้รักและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันไปทำไม

 

ฟิลิปปี2:3 อย่าทำสิ่งใดในทางชิงดีกันหรือถือดี แต่จงมีใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว 4 อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆด้วย 5 ท่านจงมีน้ำใจต่อกันเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์       นั่นแสดงว่าพระคัมภีร์ไม่ได้สนับสนุนให้คริสเตียนแตกแยกกัน  ตรงกันข้ามกลับปลุกใจให้มีความรัก และทำความดีต่อกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อครอบครัวของพระเจ้าที่มีความเชื่อ   แต่คริสเตียนวันนี้กลับทำในสิ่งตรงกันข้ามคือเราให้ราคากับการทุ่มเทเพื่การประกาศกับคนที่ไม่เป็นคริสเตียนมากเป็นพิเศษ เพียงเพื่อหวังจะได้เขามารู้จักพระเจ้าเท่านั้นเอง   แต่คนที่เชื่อด้วยกันเรากลับละเลยที่จะแสดงความรักและเรียนรู้ที่จะให้อภัยโทษต่อกัน   70×7 ครั้งที่พระเยซูคริสต์พระอาจารย์ของเราสอนสั่งให้ยกโทษต่อกัน

 

 

เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าหรือ

 

หลายคนเมื่อเห็นพี่น้องกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดทะเลาะกัน แตกแยกกันไปตั้งโบสถ์ใหม่  บางแห่งน่าเกลียดมาก    แตกออกไปตั้งคริสตจักรห่างกันเพียง2ป้ายรถเมย์    ดันทะลึ่งตั้งชื่อคริสตจักรคล้ายๆกันอีก เอาเข้าไปประเทศไทยนะประเศไทย     ลองคิดดูดีๆว่า บางชุมชนในหมู่บ้านในชนบท ชาวบ้านเขารู้กันทั่วว่ามีอะไรเกิดขึ้นในหมู่พวกคริสต์บ้าง    มีหรือเขาจะไม่ทราบ ไม่เห็น    บางครั้งคนที่ไม่เชื่อก็ชักแปลกใจจึงทนไม่ได้ที่จะมาถามว่า  พวกที่เชื่อถือพระเยซูเป็นอะไรกัน    ทำไมเขาถึงแตกแยกกัน       เราเป็นคริสเตียนที่กลับมาเผชิญหน้ากัน  แข่งขันกันไปมา   บางแห่งใช้วิชามารเสียเลยไหนๆก็ไหนๆแล้ว   ดั่กปลาหน้าไซร์คนอื่นเสียเลยง่ายยิ่งกว่าแกะกล้วยเข้าปากลิงลพบุรี    วางยาคริสตจักรเดิมกับสมาชิกบางคนที่พอจะปั่นหูเขาได้  ขับรถมารับสมาชิกที่เดิม      ท่านเองก็คงจะเคยเห็นพฤติกรรมประมาณนี้เกิดขึ้นในสังคมคริสเตียนไม่มากก็คงน้อย      แต่ที่น่าเศร้าใจมากที่สุดก็คือว่ายังมีหลายคนพูดว่า? ก็ไม่เป็นไรขอบพระคุณพระเจ้า    พระเจ้าให้เกิดการแตกแยกขึ้นเพื่อขยายอาณาจักรของพระเจ้า จะได้มีคริสตจักรเกิดขึ้นเยอะๆสนองนิมิต 2010 ?

 

ตราบใดที่คริสเตียนไทยยังมีขบวนการคิดเห็นแบบนี้ก็ทำนายได้เลยว่า  อีกไม่นานจริธรรมในหมู่คริสตชนจะหาแทบไม่เจอ  ระวังเกลือจะเน่า     ผู้เขียนไม่เชื่อว่าการแตกแยกกันในคริสตจักร หรือการทุบคริสตจักร หรือการขยายคริสตจักรออกไปโดยผ่านขบวนการขัดแย้งกันคือน้ำพระทัยพระเจ้า   พระคัมภีร์ไม่ได้สอนเช่นนี้   และนี่คือคำสอนของซาตานที่ปล่อยข้าวชั่วในไร่นาข้าวดี      มีพระคัมภีร์ตอนไหนที่สอนว่าพระเจ้าประสงค์คือให้คริสตจักรขยายออกไปทั่วโลกโดยการทำให้พวกคริสเตียนทะเลาะกันเอง  มีแต่สอนว่าให้รักสามัคคีกัน  ให้เรียนรู้จักอภัย   รู้จักถ่อมใจต่อกันมิใช่หรือ   การพูดว่านี่น้ำพระทัยพระเจ้าที่ต้องการให้คริสตจักรขัดแย้งกัน   ก็เท่ากับการใส่สีให้การร้ายต่อพระเจ้า หมิ่นพระบรมเดชานุภาพของพระเจ้า  และยิ่งไปกว่านั้นเท่ากับเป็นการสนับสนุนเห็นดีเห็นชอบให้วงการคริสเตียนไทยขัดแย้งกันเองได้   ซึ่งถือว่าเป็นแนวคิดตกขอบ   หากต้องการเห็นพระเจ้าอวยพรประเทศไทย  อย่าริไปเห็นดีเห็นงามกับพวกแตกแยกออกไปตั้งคริสตจักรใหม่

 

อะไรคือตัวกระตุ้น”

 

คำนี้เป็นคำจริง คือว่าถ้าผู้ใดปรารถนาหน้าที่ผู้ปกครองดูแลคริสตจักร ผู้นั้นก็ปรารถนากิจการงานที่ประเสริฐ” (1ทิโมธี 3:1)

คนหลายจึงปรารถนาที่จะทำงานเป็นผู้ปกครอง หรือเป็นศิษยาภิบาลคริสตจักร   เพราะถือว่าเป็นงานที่ประเสริฐ  หลายคนจึงฝันอยากจะก้าวไต่เต้าขึ้นมาเส้นทางนี้ ทำทุกวิธีที่จะเป็น ที่จะได้มา  แม้ว่าจะต้องไปทุบคริสตจักรใดๆก็หน้าหนาที่จะจนได้

 

ปัญหามันคืออะไรหรือ ?   พระคัมภีร์ยากอบสรุปว่าปัญหาของการขัดแย้งกันคือการงานของเนื้อหนัง  เพราะความโลภเจ้ายศเจ้าอย่าง  เป็นคริสเตียนเนื้อหนังที่อยากได้ แต่ไม่ได้ก็ทะเลาะกัน  เอาแต่ใจตัวเอง   อยากมีลูกแกะ    บางครั้งปัญหาก็เพราะมือที่สามเข้ามาแทรกแซงในคริสตจักร  มีบางคนตีท้ายครัวคริสตจักรของคนอื่นเขา   มาหวังจะสวมเขาและอยากจะเป็นศิษยาภิบาล  อยากเข้ามาร่วมวงกับเขา      บางแห่งทะเลาะกันระหว่างศิษยาภิบาลกับคณะธรรมกิจคริสตจักร    หรือผู้นำฆารวาสกับผู้รับใช้เต็มเวลา      อาจจะเป็นเพราะว่าการคิดเห็นที่ต่างกัน     วิธีการต่างกัน    หลักการที่ยึดถือต่างกัน เพราะแต่ละคนมาจากบริบทที่แตกต่างกัน       ทั้งๆที่ทุกฝ่ายต่างก็มีความมุ่งหวังอยากจะเห็นงานของพระเจ้าก้าวไปอย่างเกิดผลทวีคูณ  บ้างก็อยากจะปกป้องจุดอ่อนแอหรือรูรั่วของคริสตจักร     บ้างก็อ้างหวังดีอยากจะร่วมกันพัฒนาองค์กรให้ดีกว่านี้เพื่อสานต่อนิมิตคริสตจักร       เพราะต่างคนต่างก็หวังดี  เลยต่างฝ่ายก็ดันไปตัดขากางเขนจนกระทั่งใส่ไม่ได้      บางครั้งปัญหาที่เกิดขึ้นในคริสตจักรก็เกิดจากฆารวาสหรือพี่น้องบางคนพูดมากเกินไป  ว่างงานมากเลยเที่ยวไปยุ่งธุระคริสตจักรมากไปหน่อย   เข้าไปแทรกแซงงานพระเจ้าหนักไปหน่อย    ไม่นั่งไม่เรียนรู้จักวางใจผู้นำหรือวางใจพระเจ้า    อยากควบคุมการบริหารงาน  ชอบเช็คบิลผู้อื่นเสมอๆ      และคิดว่าผู้นำคริสตจักรไม่มีไฟ ไม่มีศักยภาพเหมือนตน          บางแห่งมองว่าตนเองมีความรู้และประสบการณ์ในธุรกิจการงานมาก่อน     คิดว่าอยากเห็นคริสตจักรเติบโตเลยขอยืมเอาวิธีการของโลกมาบริหารงานคริสตจักรเสียเลย     บางครั้งปัญหาก็เกิดจากตัวผู้นำเองนั้นเอง    หรือภรรยาของผู้รับใช้พระเจ้าเองที่พูดมากเช่นกัน  วางอำนาจ  คิดว่าตนเองสำคัญนัก  และมีอิทธิพลเพราะบุกเบิกก่อตั้งองค์กรนี้มากับมือ     มันก็เลยเกิดปัญหาขัดแย้งกัน        เชื่อไหมว่าปัญหาคริสตจักรบางทีเป็นเรื่องเล็กๆในสำนักงาน   เป็นเรื่องของคนสองสามคนที่ตกลงกันไม่ได้    สุดท้ายก็มีการรวมฝูงชนออกเป็นกลุ่มๆ  แยกสี และเลือกข้างเกิดขึ้นในแผ่นดินของพระเจ้า  วิพากวิจารณ์เรื่องคริสตจักรในกลุ่ม     กลุ่มเหล่านั้นอาจจะมาจากแคร์ หรือเซลล์กรุ๊ปนั่นเอง    เริ่มมีการเมืองในคริสตจักร     นั่งจับเข่าทานข้าวแบ่งเป็นกกๆ

 

ผู้เขียนเห็นว่าปัญหาการที่ผู้นำ และสมาชิกต่างลืมตระหนักให้ดีว่าแท้จริงแล้ว   คริสตจักรเป็นของพระเยซูคริสต์    สาวกในคริสตจักรก็คือสาวกของพระคริสต์ไม่ใช่ของศิษยาภิบาลหรืออาจารย์    เงินทั้งสิ้นในคริสตจักรเป็นทรัพย์สินของพระเจ้าไม่ใช่ของมัคนายก   หรือของภรรยาศิษยาภิบาล       การขาดจิตสำนึกดังกล่าวจึงทำให้เราประเมินตัวเองสูงเกินไป   แท้จริงทุกคนก็คือทาสรับใช้ของพระเยซูคริสต์    บางคริสตจักรคนถวายทรัพย์มากกว่าก็อยากแสดงว่าตนเองมือใหญ่เป็นเจ้าสัว   บางคริสตจักรบริหารงานอย่างกับเป็นธุรกิจครอบครัว   ตัดสินใจคนเดียว

 

เมื่อเกิดการเผชิญหน้ากันก็ขาดผู้ใหญ่จริงๆที่จะเข้าไปช่วยสมานรอยร้าวนั้นให้กลับคืนสู่สภาพที่ดีดังเดิม    ปัญหาบางคริสตจักรผู้ใหญ่กลับมีปัญหากับพี่น้องเสียเอง    แล้วใครจะเข้ามาช่วยพวกเขาที่จะทำให้เกิดการคืนดีกันได้  เมื่อขัดเคียงใจกันแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ  แต่บรรยากาศของคริสตักรก็เริ่มอับเฉา  ไม่พุดคุยกันเหมือนแต่ก่อน

 

แฟชั่นคริสตจักร

ทุกวันนี้ดูเหมือนการขัดแย้งกันก็ดี หรือแตกแยกคริสตจักรออกไปกลายเป็นเหมือนค่านิยม หรือแฟชั่นใหม่เสียแล้ว    แทบจะไม่มีที่ใดที่ไม่มีการแตกแยกกัน   สิ่งที่แปลกประหลาดไม่น้อยก็คือว่า  คริสตจักรพอมีสมาชิกประมาณ 50?100 คนก็จะเริ่มส่ออาการติดเชื้อไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่มา     โรคระบาดเริ่มขยายวงกว้างออกไปในครอบครัวของคริสตจักร     จากการพูดคุยของผู้นำพบว่าการแตกแยกกันเกิดขึ้นเพราะคริสตจักรมีกลุ่มเซลล์ และกลุ่มแคร์   มีมุ้งเล็กมุ้งน้อย โดยการนำของหัวหน้าเซลล์ต่างๆ    เมื่อผู้นำในกลุ่มใหญ่ขึ้น   มีการยอมรับกันในกลุ่มอยู่ในระดับที่สูงขึ้นก็เริ่มมีการขัดแย้งกันมากขึ้น

ได้มากกว่าเสีย หรือเสียมากกว่าได้?

แท้จริงแล้ว  การขัดแย้งกันเกิดความเสียมากกว่าได้    เราไม่จำเป็นต้องขยายคริสตจักรออกไปโดยการทะเลาะขัดแย้ง หรือโดยการแตกกกกันได้ไหม   มันพอจะมีวิธีการที่ดีกว่านี้หรือไม่     ก่อนที่เราจะเริ่มเห็นการแตกแยกกันออกไปตั้งคริสตจักร  เป็นไปได้ไหมว่าคริสตจักรและผู้นำทั้งหลายจะใช้เวลานั่งคุยกัน และอธิษฐานร่วมกันโดยปราศจากความรู้สึกที่ขมขื่นข้างใน      พร้อมทั้งวางแผนที่จะขยายคริสตจักรใหม่ๆ  เพื่ออย่างน้อยก็รองรับผู้นำกลุ่มต่างๆที่มากขึ้น     พวกเขาเหล่านั้นพร้อมที่จะออกไปทำพันธกิจ    และพวกเขาก็อยากมีอานาคตของตนเองในงานรับใช้พระเจ้าด้วย  ดีกว่าปล่อยให้สถานการณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นก่อน  แล้วในที่สุดคริสตจักรก็แตก       การที่คริสตจักรจะยึดมั่นถือมั่นว่าอยากจะมีสมาชิกเพิ่มพูนเป็นพันๆคน     บางทีอาจจะไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าต้องการก็เป็นได้      มนุษย์ต้องการสะสมอำนาจและบารมีของตนเอง   ชอบอวดตัว   ดาวิดที่ทำบาปและพระเจ้าไม่พอพระทัยก็เพราะเหตุที่เขาเริ่มนับจำนวนประชากร     แล้วรู้สึกว่าตนเองมีกำลังและยิ่งใหญ่กว่าใครใดๆในพื้นฟ้านี้       พระเจ้ากลับปรารถนาให้เราถ่อมใจ   เรามักนิยมความรุนแรงต่อกัน  พระเจ้ากลับต้องการให้เราอ่อนโยน      การขัดแย้งมีแต่ทำให้คริสตจักรอ่อนแอ และภาพพจน์ของคริสตจักรก็ไม่ได้สง่างาม    ไม่ได้สำแดงสง่าราศรีของพระเจ้าเลย  มีแต่ความอับอายขายขี้หน้า    และเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีในสังคมไทยของเราที่มีการขัดแย้งกันอยู่มากพออยู่แล้ว  มีการแบ่งพรรคแบ่งพวก  มีการใช้ความรุนแรงต่อกันอยู่แล้ว     จะคุ้มค่าหรือหากเราจะมีคริสตจักรเกิดขึ้นเพราะผลจากการขัดแย้ง  การแตกแยกเป็นกกๆ เป็นเหล่ากัน

 

ความหวังของคริสตจักรไทยอยู่ที่ไหน

มาช่วยๆกันทำให้พระเจ้าของเรายิ้ม ตามพระคัมภีร์ยอห์นบทที่17 ซึ่งพระองค์ทรงตรัสว่า ?ให้เขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน?

ด้วยการเรียนรู้จักรักซึ่งกันและกัน  ถ่อมใจต่อกัน หันหน้ามาหากันเพื่อรักร่วมรับใช้  ด้วยจิตสำนึกเสมอว่า คริสตจักรเป็นของพระเยซูคริสต์  เราคือผู้ทาสรับใช้ของพระเจ้า  พวกเราทุกคนล้วนเป็นคนบาปที่ได้รับพระคุณพระเจ้าเหมือนๆกัน   ที่เราเป็นอยู่อย่างนี้ก็เนื่องด้วยพระคุณพระเจ้า    ไม่สมควรเลยที่เราจะขัดแย้งกัน หรือแตกแยกกันเอง    และจากนั้นก็พาพรรคพวกหรือสมุนออกไปตั้งคริสตจักร ขึ้นป้ายของตึกแถวห้องแถวว่าคริสตจักร…..          สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดคริสเตียนต้องเปลี่ยนวิธีคิดใหม่   อย่าคิดว่าพระเจ้าจะทรงได้รับเกียรติเหนือคริสตจักรที่ก่อตั้งออกมาจากความขัดแย้ง      คริสตจักรที่เกิดขึ้นมาใหม่เพราะแตกแยกออกไปจากที่หนึ่งก็เหมือนลูกที่คลอดออกมาจากพ่อมแม่ที่ไม่พร้อมที่จะมีบุตร  ไม่สง่างาม  ไม่สมบูรณ์       ในวันข้างหน้าท่านจะจารึกประวัติศาสตร์คริสตจักรนั้นเขียนว่าอย่างไรหรือ        สิ่งที่คริสเตียนไม่ควรพลัดวันกระกันพรุ่งคือการแสดงความรับผิดชอบร่วมกันว่า    เราไม่เห็นด้วย หรือสนับสนุนให้คริสตจักรทะเลาะกันเอง   หรือแตกแยกกันออกไป

 

คงถึงเวลาแล้วหรือที่คริสเตียนจะหันหน้ามาจับไม้จับมือกันทำงานของพระเจ้า        แม้ว่าปี2010 หรือ 2020 จะไม่สามารถประกาศทั่วไทยได้สำเร็จ หากคริสเตียนไทยเรียนรู้ที่จะรักและยอมรับในสิ่งที่เราเป็น  ในสิ่งที่คริสตจักรเป็นก็สำคัญกว่าสิ่งใด   สำหรับคริสตจักรที่เคยแตกแยกออกมา จะด้วยเหตุผลอย่างไรก็แล้วแต่      สิ่งที่ท่านสามารถทำได้ในฐานะธรรมิกชนคนหนึ่ง   ท่านควรจะกลับไปสร้างสัมพันธภาพกับคริสตจักรที่เคยแยกตัวออกมา     และจับมือกันทำพันธกิจต่อไป    สำหรับกลุ่มคนที่กำลังคิดท้อแท้ใจกับคริสตจักร ระบบคริสตจักรและอยากจะขอแยกตัวออกมาเพื่อตั้งคริสตจักรใหม่ๆ   ขอหนุนใจว่าให้อธิษฐานดีๆ  และเริ่มคริสตจักรให้สง่างามไม่ดีกว่าหรือ         ให้มีการพูดคุยกันกับคริสตจักร  ไปลามาไหว้กันดีกว่าที่จะทำประหนึ่งว่า  มาทางไปอีกทาง     ถ้าอยากให้สง่างามก็ควรจะออกไปตั้งคริสตจักรใหม่โดยหาสมาชิกใหม่ๆดีกว่า      ประกาศกับคนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้ามาก่อนดีกว่าซึ่งยังมีอีกมากมายมิใช่หรือ         จะเที่ยวไปดึงลูกแกะที่มีอยู่แล้วมาพัฒนาสายพันธุ์ใหม่  นอกจากไม่สง่างามแล้ว  ยังทำให้เกิดความัวหมองในสังคมคริสตชนไทยไปมากกว่านี้    และสงสารคนทำสถิติว่าจำนวนคริสเตียนไทยแกว่งไปแกว่งมา  โบสถ์หนึ่งฉลองขอบคุณพระเจ้าที่สมาชิกเพิ่มขึ้น 20 คนในปีนี้  แต่อีกโบสถ์บ่นว่าปีนี้สมาชิกหายไป 5 คน

สำหรับคนที่ชอบเที่ยวไปแย่งสมาชิก หรือผู้นำคริสตจักรอื่นๆ  ก็ควรจะกลับใจเสียใหม่   คิดเป็นไหมว่า     แม้คนไม่เชื่อเขาก็ไม่กระทำกัน    คริสตจักรคือเจ้าสาวของพระคริสต์ใช่หรือไม่    แต่หากคริสตจักรไม่ใช่เจ้าสาวของพระคริสต์คริสตจักรก็ไม่แตกกับหญิงแพศยา     เคยมีคนเขียนไว้ว่าคริสตจักรที่ดีควรประกอปด้วยหลักสำคัญ 3 อย่าง

1 .คริสตจักรที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง

2.คริสตจักรที่มีนิมิตเป้าหมายในการทำพระมหาบัญชาของพระเจ้าให้สำเร็จ

3.คริสตจักรที่มีผู้นำทุ่มเทไม่เห็นผลประโยชน์ส่วนตัวทุ่มทั้งชีวิต

สำหรับผู้เขียนขอสรุปว่า คริสตจักรที่ดีควร  เป็นคริสตจักรที่มีพระคริสต์เป็นศรีษะ  และมีเราทุกคนก็เป็นพระกายนั้น  การขยายคริสตจักรโดยการขัดแย้งกันแล้วไปตั้งคริสตจักรใหม่ๆคงไม่ใช่แผนการหรือน้ำพระทัยของพระเจ้าแน่  นอกเสียจากจะเป็นน้ำพระทัยของส่วนตัวบุคคลหนึ่งบุคคลใดเท่านั้นเอง  วันนี้ยังมายที่เราจะหันมาทำพันธกิจอย่างสร้างสรรค์ด้วยความรักสมานสามัคคีของคริสตชนทั่วไทย

 

คอลัมนิสต์คริสเตียน
โดย ศิษยาภิบาลเรวัฒน์ เทพจักร์
คริสตจักรศรัทธาร่วมใจ